ผู้ฟังท่านหนึ่งชื่อลอว์เรนซ์เขียนมาถามเราเกี่ยวกับพระคัมภีร์สองตอนที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเอง เขาถามว่า “1 โครินธ์ 12:3 บอกว่า ‘ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ ข้อที่คล้ายกันใน 1ยอห์น 4:2-3 ก็พูดเหมือนกัน แต่ใน มัทธิว 7:21-23 พระเยซูตรัสว่าจะมีหลายคนที่เรียกพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า’ ที่พระเยซูจะตอบพวกเขาไปว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย’ อาจารย์ครับ เราจะเข้าใจได้อย่างไรว่าข้อความทั้งสองเป็นความจริง?
ปัญหาในที่นี้คือความตึงเครียดที่มีระหว่างพระธรรมสองตอน จริงๆ ก็ในพระธรรมหลายๆ ตอนและในประสบการณ์ของเราเองด้วย และก็มีมากกว่าพระธรรมสองตอนนี้ซึ่งผมคงจะชี้ให้เห็นในสักข้อ 1โครินธ์ 12:3 พูดว่า “ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า ‘พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” นี่เป็นข้อที่สง่างามมาก เราพูดแบบนี้เองไม่ได้ เราตายไปแล้วและเราต่อต้านความเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระเยซูแบบสุดๆ จนเราไม่สามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกเสียจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในเรา
แต่ลอว์เรนซ์ชี้ให้เห็นใน มัทธิว 7:21 ที่บอกว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” คราวนี้ มันมีความตึงเครียดอยู่ ฟังดูเหมือนกับว่า เดี๋ยวนะ พวกเขาเรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเขากำลังพินาศ พวกเขาไม่ได้แม้แต่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้นพระธรรมสองตอนนี้จะเข้ากันได้อย่างไร?
ผมขอเพิ่มความตึงเครียดเข้าไปอีกสักข้อก่อนที่ผมจะพยายามแก้ปัญหานี้ โรม 8:15-16 บอกว่า “ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า ‘อับบา พ่อ’ พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”
ฟังดูเหมือนกับว่า อ้อ ถ้าใครสักคนจะพูดว่า “อับบา พ่อ” แสดงว่าคนนั้นมีพระวิญญาณที่ทำให้เขาเป็นบุตรและเขาก็เป็นคริสเตียน แต่พระเยซูทรงติเตียนพวกผู้นำยิวบางคนเพราะพวกเขาเรียกพระเจ้าว่าเป็นพระบิดาของพวกเขา และตรัสว่า “พวกเจ้าไม่ได้แม้แต่จะรู้จักกับพระเจ้าในฐานะพระบิดาของตัวเอง” (ดูใน มัทธิว 3:9; ยอห์น 8:41-42) และในทุกวันนี้ เราก็รู้ว่าผู้คนสามารถเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” แต่ไม่รอดได้ อันที่จริง แนวทางเสรีนิยมแบบเก่าเมื่อร้อยปีที่แล้วก็ชอบเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” และพวกเขาก็ไม่ได้มีแม้แต่เรื่องการชดใช้บาปแทนอยู่ในศาสนศาสตร์ของพวกเขาเลย พวกเขาแค่ชอบความเป็นพระบิดาของพระเจ้าเท่านั้นเอง ดังนั้น เป็นไปได้ที่จะเรียกพระเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” เป็นไปได้ที่จะเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” โดยที่การเรียกนี้ไม่ได้เป็นหลักฐานของความเชื่อที่แท้จริงใดๆ เลย แล้วเราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ว่าอย่างไร?
ผมคิดว่ามี 2 ตัวบ่งชี้ด้วยกันในพระธรรมเหล่านี้ที่ช่วยให้เราเข้าใจว่า อาจารย์เปาโล (ทั้งใน 1โครินธ์ บทที่ 12 และในโรม บทที่ 8) อยากให้เราเข้าใจสิ่งที่ท่านพูดว่าอย่างไร เพื่อที่ว่าหากคุณเรียกพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” และคุณเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” ของคุณ ก็แสดงว่าคุณอยู่ภายใต้อิทธิพลของการงานที่ช่วยให้รอดของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแท้จริง แล้วสิ่งนี้คืออะไร? อะไรคือตัวบ่งชี้เหล่านี้? ในโรม 8:15 ท่านพูดว่า “ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ” ผมสงสัยว่าเปาโลเลือกใช้คำว่า “ร้อง” เพื่อสื่อสารกับเราว่านี่เป็นสิ่งที่กลั่นออกมาจากความจริงใจ ไม่ใช่บางอย่างที่หลุดจากปากของคุณเพื่อปกปิดว่าไม่ได้มีการร่ำร้องในใจของคุณต่อพระเจ้าในฐานะพระบิดาของคุณ คุณหมายความแบบนี้จริงๆ สิ่งนี้บาดลึกลงไปในหัวใจคุณ การร่ำร้องที่เพิ่มขึ้นและเอ่อล้นออกไปคือการพึ่งพาในพระบิดาผู้ดีเลิศที่คุณวางใจอย่างแท้จริงเหมือนกับเด็ก ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เปาโลหมายถึงเมื่อท่านกล่าวว่า “โดยพระองค์ เราร้องว่า ‘อับบา พ่อ’” ไม่ใช่แค่ว่า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงสามารถพูดคำว่า “อับบา พ่อ” คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งก็สามารถพูดคำว่า “อับบา พ่อ” ได้
และนี่คือตัวบ่งชี้ที่สอง อันที่จริงก็คือสิ่งเดียวกับใน 1โครินธ์ 12:3 นั่นเอง เพราะตรงนั้นพระคัมภีร์บอกว่า “ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า ‘พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” และวลีนั้นก็คือ Kurios, Iesus คำว่า Kurios คือองค์พระผู้เป็นเจ้า และ Iesus คือพระเยซู และการคาดเดาของผมก็คือ ในบริบทของโครินธ์ในสมัยนั้น วลีนี้ (ซึ่งตรงข้ามกับวลี Kurios Kaiseros ที่แปลว่า ซีซาร์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า) มาพร้อมกับอันตรายที่ร้ายแรงมาก พูดอีกอย่างคือ นั่นเป็นการกบฏ นั่นคือการกบฏ คุณจะยืนขึ้นและกล่าวในที่สาธารณะว่า “Kurios Iesus” และทุกสายตาจะมองมาที่คุณพร้อมกับพูดว่า “แกตายแน่” คุณจะถูกตัดหัวเพราะพูดแบบนั้น การคาดเดาของผมคือในบริบทนั้นวลีนี้มาพร้อมกับอันตรายและความเสี่ยงอย่างเต็มที่ที่เพียงแค่คนที่ทำด้วยความจริงใจเท่านั้นจะพูดคำๆ นั้นออกไปได้ ฉะนั้น เมื่อเปาโลพูดว่า “ไม่มีใครสามารถพูดคำนั้นได้นอกจากคนที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ท่านก็หมายถึง ไม่มีใครสามารถพูดคำนั้นได้ รู้สึกถึงคำนั้นได้จริงๆ หมายความว่าแบบนั้น และเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพราะคำๆ นั้นได้
ดังนั้น ผมคิดว่าคำตอบของความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเองในโรม และ 1โครินธ์ คือทั้งสองก็ตั้งใจให้เราหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ เมื่อเรายอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และการยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบิดาที่รักของเราจะต้องเป็นของแท้ และการยอมรับนี้จะเป็นจริง เป็นของแท้ และไม่เสแสร้งได้ก็ต่อเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานภายในเราอย่างลึกซึ้งเท่านั้น
ดังนั้น การประยุกต์ใช้ในชีวิตของเราก็จะเป็น ประการแรก ให้เราตระหนักว่าเราอับจนซึ่งหนทางแค่ไหนหากปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่สามารถยอมรับด้วยความจริงใจได้เลยว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและสามารถร้องออกมาด้วยความจริงใจเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่งต่อพระเจ้าในฐานะพระบิดาได้เลยหากพระวิญญาณไม่ได้ประทานฤทธิ์อำนาจนั้นให้กับเรา และประการที่สอง เราควรร้องขอพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระองค์เพื่อที่ท้ายที่สุดแล้วเราจะได้ไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นพวกหน้าซื่อใจคดและคนที่กำลังเล่นเกมอยู่
ขอบคุณครับอาจารย์จอห์น อีกอย่างนี่เป็นการเชื่อมโยงที่น่าทึ่งของพระธรรมโครินธ์เลยทีเดียวครับ ผม โทนี แรงค์กี ขอบคุณทุกท่านที่รับฟังพอดแคสต์ “ตอบคำถามกับอาจารย์จอห์น” ครับ
Ask Pastor John (Thai) Episode 4: Can I confess the name of Jesus and be unsaved?