ในวันจันทร์หนึ่ง เราได้เริ่มต้นสัปดาห์โดยการมองไปที่ไม้กางเขน ซึ่งนี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมเสมอที่จะเริ่มต้นสัปดาห์ใช่ไหม? คือโดยการมองไปที่ไม้กางเขน และเราก็เห็นแล้วว่าวิธีที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์นั้นเหมาะสม ในตอนนั้นของรายการ “ตอบคำถามกับอาจารย์จอห์น” อาจารย์จอห์นบอกให้เราขีดเส้นใต้และเขียนวงกลมเส้นใหญ่ๆ ล้อมรอบคำว่า “เหมาะสม” ในฮีบรู 2:10 ซึ่งกล่าวว่า “ในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้วที่พระเจ้าผู้ซึ่งสรรพสิ่งมีอยู่เพื่อพระองค์และโดยทางพระองค์จะทรงทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยการทนทุกข์” อาจารย์จอห์นบอกในครั้งก่อนว่า ความเหมาะสมของการที่พระคริสต์ทรงถูกทำให้อับอายอย่างเปิดเผยบนไม้กางเขนคือประเด็นอันลึกซึ้งซึ่งคุ้มค่ากับการศึกษาอย่างหนักและการคิดใคร่ครวญเป็นเวลานาน เพราะ “การตัดสินใจชั่วนิรันดร์ของพระเจ้าที่จะทำให้ความรอดของเราได้มาทางการทนทุกข์ของพระคริสต์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผล แปลกประหลาด หรือไร้ความหมาย แต่เกิดจากความเหมาะสมและความพอเหมาะอย่างลึกซึ้ง”
ความเหมาะสมของไม้กางเขนนี้เรียกร้องการเพ่งความคิดอย่างสูงจากเรา และเราก็เพ่งความคิดไปที่ไม้กางเขนเพื่อต่อต้านการหันเหออกไปจากข่าวประเสริฐ นั่นคือประเด็นหลักอย่างหนึ่งของพระธรรมฮีบรู และผมก็อยากจะเชื่อมตอนของวันจันทร์ด้วยคลิปเสียงคำเทศนาในวันนี้ และเราจะทำสิ่งนี้ควบคู่กับพระธรรมฮีบรู 2:10 ต่อไปนี้คือคำเทศนาที่อาจารย์จอห์นได้เทศน์เกี่ยวกับพระธรรมตอนนี้ในปี 1996 ซึ่งพูดเกี่ยวกับการหันเหออกไปจากข่าวประเสริฐและวิธีหลีกเลี่ยงสิ่งนี้
“คราวนี้ เหตุผลที่ผมเรียกพระองค์ว่าเป็นผู้เบิกทางหรือเป็นกัปตันทีมเป็นเพราะวลีที่อยู่ในฮีบรู 2:10 “นำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ” ให้เราอ่านในข้อ 10 ด้วยกันที่บอกว่า “ในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้วที่พระเจ้า (พระบิดา) ผู้ซึ่งสรรพสิ่งมีอยู่เพื่อพระองค์และโดยทางพระองค์…” นั่นคือสิ่งที่ทรงกำลังทำในขณะที่ส่งพระเยซูลงมาทนทุกข์ สิ้นพระชนม์ และได้รับพระเกียรติสิริ พระองค์ทรงกำลังนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ การทำสิ่งนี้เป็นเรื่องเหมาะสม คือการที่ “ทรงทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยการทนทุกข์”
คราวนี้ มีสิ่งที่สำคัญมากมายในข้อนั้น พระคัมภีร์ข้อนั้นข้อเดียวก็น่าจะทำให้เราง่วนอยู่ได้หลายเดือน ช่างเป็นข้อที่ล้ำลึกอย่างอัศจรรย์เสียจริงๆ แต่สิ่งที่ผมอยากจะมุ่งความสนใจในตอนนี้คือวลีที่บอกว่า: พระเจ้าทรงนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เหตุผลที่นี่เป็นสิ่งสำคัญคือเพราะพระคัมภีร์ข้อนี้เชื่อมโยงกลับไปข้อที่ 7 ซึ่งผู้เขียนยกมาจากสดุดี บทที่ 8 เพื่อบอกว่าปลายทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วของมนุษย์คือการมีสง่าราศีหรือพระเกียรติสิริ มีเกียรติ และมีอำนาจเหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง ภายใต้พระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ นั่นคือปลายทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วของคุณ นั่นคือเป้าหมายของคุณ
ตอนนี้ เรายังมองไม่เห็นว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว มนุษย์กำลังทนทุกข์และพวกเขาก็ล้มตาย แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือการที่พระเยซูทรงถูกทำให้เป็นมนุษย์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง เดินเข้าสู่ความตาย เดินออกมาจากความตาย นั่งอยู่บนบัลลังก์อันทรงราศีที่ซึ่งวันหนึ่งเราจะได้นั่งร่วมกับพระองค์ แบบพูดไม่ออก ตามที่บอกไว้แล้วในวิวรณ์ บทที่ 3 และในการทำสิ่งนี้ พระองค์ทรงกำลังทำอะไรอยู่? พระองค์ก็กำลังนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรสิริพร้อมกับพระองค์ ดังนั้น สาเหตุที่พระบุตรทรงสวมสภาพเนื้อหนังของมนุษย์คือเพื่อที่สดุดี บทที่ 8 (ซึ่งดูเหมือนจะล้มเหลว) จะได้ถูกทำให้สำเร็จในมนุษย์คนแรกที่เดินออกมาจากหลุมฝังศพและท่านผู้นั้นก็จะนำคนอื่นออกมาพร้อมกับพระองค์ด้วย นี่เป็นกระบวนการของเรื่องนี้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในตรงนี้ นี่คือความรอดอันยิ่งใหญ่ของเรา
เมื่อผู้เขียนฮีบรูกล่าวในข้อที่ 3 ว่า “เราจะรอดพ้นได้อย่างไร? ถ้าเราละเลยความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนี้” นี่ก็คือสิ่งที่ท่านคิดอยู่ในใจ คือการมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระบุตรอันยิ่งใหญ่ การเอาชนะความมรณา การไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระบิดา การได้สวมด้วยพระเกียรติและพระสิริ และการนำบุตรชายและบุตรหญิงมากมายมาสู่พระสิรินี้เพื่อที่สดุดี บทที่ 8 จะสัมฤทธิ์ผล พระธรรมข้อนี้จะถูกทำให้สำเร็จ
นี่คือความรอดอันยิ่งใหญ่เพราะหลายๆ เหตุผลด้วยกัน ซึ่งเราก็ได้เห็นเหตุผลเหล่านั้นแล้ว ความรอดนี้ยิ่งใหญ่เพราะปลายทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วของความรอดนี้ จะไม่มีโรคมะเร็งอีกต่อไป จะไม่มีโรคอัมพาตอีก จะไม่มีสภาวะตาบอดอีก ไม่มีโรคข้ออักเสบอีกต่อไป ไม่มีโรคหัวใจอีก จะไม่มีโรคซึมเศร้าอีก จะไม่มีความรุนแรงหรือความขัดแย้งอีก เพราะสิ่งเก่าๆ จะผ่านพ้นไป สดุดี บทที่ 8 จะถูกทำให้สำเร็จ สง่าราศีที่พระเยซูทรงเพลิดเพลินอยู่ ณ เวลานี้ที่เบื้องขวาของพระบิดาจะกลายมาเป็นสง่าราศีของเราด้วย จะมีสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ด้วย และสดุดี บทที่ 8 ก็จะเป็นจริงในขณะที่ทั้งคุณและผมซึ่งเป็นเหมือนกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ปกครองจักรวาลเคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับพี่ชายคนโตของเรา คือพระเยซูคริสต์ สิ่งนี้กำลังมา นี่แหละคือความรอดอันยิ่งใหญ่ของเรา
ประการที่สอง นี่เป็นความรอดอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพียงเพราะเป้าหมายและปลายทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วของเรา แต่เป็นเพราะพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดผู้ยิ่งใหญ่ พระเกียรติสิริของพระองค์คือปลายทางอันสูงสุดของเรา เราได้ร่วมในพระเกียรติสิริที่ได้ทรงเอาชนะมาโดยความตายและการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ และพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าผู้เสด็จมาเพื่อช่วยกู้เรา ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนสามารถทำสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำได้ ดังนั้น ความรอดของเราจึงยิ่งใหญ่เพราะพระเยซูคือผู้เบิกทางไปสู่พระเจ้าและเป้าหมายของพระองค์ก็คือพระเกียรติสิริของพระเจ้า
“ดังนั้น” (ข้อที่3) (เรามักจะกลับไปที่ดังนั้นเสมอ) “อย่าละเลยความรอดอันยิ่งใหญ่นี้” อย่าเมินเฉยต่อความรอดนี้ หนึ่งในสาเหตุหลักๆ ของความอ่อนแอของคริสตจักรอีแวนเจลิคัลหลักๆ ของอเมริกาคือการละเลยต่อความยิ่งใหญ่ของความรอดของเรา ถามตัวเองดูสิว่า “คุณใช้พลังความคิดเท่าไหร่ไปกับการเอาแต่คิดถึงความยิ่งใหญ่ของความรอดของคุณ เทียบกับพลังงานที่คุณใช้เพื่อการนึกถึงเรื่องการเงิน หรือเรื่องบ้าน หรือเรื่องงานของคุณ?
มีการละเลยความยิ่งใหญ่ของความรอดของเราในคริสตจักรครั้งใหญ่ ไม่รวมถึงที่เกิดขึ้นภายนอกคริสตจักรด้วย ถ้าอย่างนั้น อะไรคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับการละเลย? ผมจะให้รายการคำตอบที่ได้จากพระธรรมฮีบรูให้กับคุณ
- ใน 2:1 มันคือการเอาใจใส่ต่อสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังให้มากขึ้น
- ใน 3:1 มันคือการนึกถึงพระเยซูผู้เป็นองค์อัครทูตและมหาปุโรหิตซึ่งเรารับเชื่อ
- ใน 3:12-13 มันคือการระมัดระวังให้ดีเพื่อที่จะไม่มีใครมีใจบาปชั่วที่ไม่ยอมเชื่อ แต่จงให้กำลังใจกันและกันทุกๆ วัน
- ใน 4:16 มันคือการเข้ามาใกล้บัลลังก์แห่งพระคุณเพื่อรับความช่วยเหลือจากพระเยซู
- ใน 10:23 มันคือการยึดมั่นอย่างไม่สั่นคลอนในความหวังที่เรารับไว้
- ใน 12:1-2 มันคือการวิ่งด้วยความอดทนบากบั่นไปตามลู่วิ่งที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา มองไปที่พระเยซูผู้ทรงลิขิตความเชื่อและทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์
- และใน 12:25 มันคือการไม่ปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์
การไม่ละเลยคือการมีส่วนร่วมในทางความคิด จิตวิญญาณ และทางอารมณ์กับพระเจ้า ว่าจะมองดู ลิ้มรส มองเห็น น้อมรับพระองค์ในความยิ่งใหญ่ของพระองค์และในทุกสิ่งที่ทรงได้ทำเพื่อเรา คือการไตร่ตรอง คิดในเรื่องนี้ และไม่ละทิ้งสิ่งนี้
พ่อของผมและผมเป็นนักสะสมเหรียญ ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก จำไม่ได้ว่าอายุเท่าไหร่ แต่เป็นเวลาหลายปีต่อเนื่องที่เราทั้งคู่ต่างก็เป็นนักสะสมเหรียญ ผมสงสัยเหมือนกันว่ามีกี่คนกันที่เคยเป็นนักสะสมเหรียญ ผมไม่ได้ดูสมุดสะสมเหรียญมานานแล้ว แต่เมื่อก่อนเคยมีสมุดสะสมเหรียญสีฟ้าหลายๆ เล่มที่พอเปิดออกมาก็เต็มไปด้วยช่องเล็กๆ วันที่ต่างๆ และสถานที่ที่ผลิตเหรียญ สอดเหรียญลงไป คุณก็ได้สมุดสะสมเหรียญที่เต็มทุกหน้า นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ สมุดเล่มนั้นน่าจะมีมูลค่าอยู่หลายร้อยดอลล่าร์
พ่อของผมเป็นนักประกาศที่เดินทางไปหลายๆ ที่ เขาจะเดินทางไปที่อื่นและพูดคุยกับเหล่านักสะสมเหรียญหลายๆ คน เขาจะเก็บเหรียญของตัวเองแล้วนำพวกมันกลับบ้าน จากนั้นพ่อกับผมก็จะนั่งลงแล้วดูเหรียญพวกนั้นด้วยกัน เราจะค้นหาพวกมันในหนังสือและดูว่า “อันนี้ดี อันนี้สุดยอด หรืออันนี้สวยไหม?” เราจะสอดเหรียญพวกนั้นลงไปในช่องของสมุดและพยายามที่จะทำจนหมดเล่ม
จากนั้นก็มีบางอย่างเกิดขึ้น บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็แค่หยุดทำมัน และก็จะมีความสนใจเล็กๆ น้อยๆ ปะทุขึ้นเป็นครั้งคราวในหลายปีต่อมา เราก็จะก้มลงไปที่ชั้นวางของชั้นล่างที่มีประตูเล็กๆ บานหนึ่งแล้วเราก็จะผลักประตูนั้นออกไป พวกมันก็อยู่ตรงนั้น เราจะดึงเล่มหนึ่งออกมาและทำอะไรบางอย่างนิดๆ หน่อยๆ กับมันแล้ววางมันกลับไปที่เดิม เวลาก็จะผ่านไปหลายเดือน ทุกวันนี้ผมไม่รู้เลยว่าสมุดพวกนั้นอยู่ที่ไหน และพวกมันก็มีมูลค่าหลายพันดอลล่าร์
ประสบการณ์ทางความเชื่อของคริสเตียนหลายคนก็เป็นแบบนี้ มีบางอย่างปะทุขึ้น มีการมีส่วนร่วม ดูเหมือนจะมีความกระตือรือร้นและความสนใจที่เบ่งบานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นหลายสัปดาห์ผ่านไปแต่ก็ยังไม่มีการอธิษฐาน ไม่มีการใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า เป็นเรื่องง่ายที่จะไม่ไปร่วมนมัสการ “บ้านพักริมทะเลสาบต้องได้รับการดูแล และที่นั่นก็มีสามัคคีธรรมดีๆ รออยู่ และพระสิริของพระเจ้าก็ได้รับการประกาศท่ามกลางแสงแดด” ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป วันหนึ่งคุณตื่นขึ้นมาและมันก็จบลงแล้ว ไม่เพียงแค่ถูกละเลย แต่ยังถูกหลงลืม และคุณก็รู้สึกเย็นชาด้วย และอาจจะไม่มีการหวนกลับคืนมาอีก ดังที่บอกไว้ในฮีบรู บทที่12 อาจจะไม่มีการหวนกลับคืนมา
พระธรรมเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อช่วยไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น นี่แหละคือจุดประสงค์ของพระธรรมฮีบรู อย่าละเลย อย่าละเลย นี่คือความรอดอันยิ่งใหญ่ สิ่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าสมุดสะสมเหรียญเล่มสีฟ้าที่มีเหรียญครบทุกหน้าหลายๆ เล่มหลายร้อยหลายพันเท่า และผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็วิงวอนเราว่าอย่าละเลยความรอดอันย่ิงใหญ่นี้
ท่านได้เขียนพระธรรมเล่มนี้ขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้เราและช่วยให้เราเลียนแบบท่านในการใคร่ครวญความยิ่งใหญ่ของความรอด ถ้าคุณจะพูดว่า แล้วพระธรรมฮีบรูคืออะไร? พระธรรมฮีบรูก็คือความพยายามอย่างไม่ลดละของคนๆ หนึ่งที่จะไม่ละเลยความยิ่งใหญ่ของความรอด พระธรรมเล่มนี้คือการใคร่ครวญอย่างยาวนานในเรื่องความสง่างามของพระเยซูคริสต์และสิ่งที่ทรงทำผ่านทางความตายและการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์เพื่อคุณและผม ดังนั้น ถ้าหากคุณอยากรู้วิธีที่จะไม่เพิกเฉยต่อความรอดอันยิ่งใหญ่ของคุณล่ะก็ จงยอมให้พระธรรมฮีบรูเป็นตัวอย่างให้คุณเห็นวิธีที่จะไม่เพิกเฉยต่อความรอดอันยิ่งใหญ่ของคุณ นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนกำลังทำอยู่ตรงนี้
สุดยอด ดีมากเลย เรื่องการสะสมเหรียญที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งและเป็นเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจดี เพื่อเตือนเราอีกครั้งถึงอันตรายของการหันเหออกไปจากข่าวประเสริฐ
English Version: Ask Pastor John – “Gospel Drift and How to Avoid It“