Saphan Siam

APJ | “จะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวประเสริฐเป็นเรื่องจริง?”


การถอดเสียง

จะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวประเสริฐเป็นเรื่องจริง?

อลิซซาจากแลงคาสเตอร์ ถามเข้ามาว่า “อาจารย์จอห์นคะ หนูเติบโตมาในครอบครัวคริสเตียนที่ดีมากๆ เป็นครอบครัวที่ดำเนินชีวิตตามข่าวประเสริฐให้หนูเห็นทุกวัน และหนูก็วางใจให้พระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว  อย่างไรก็ตาม ตอนที่อายุประมาณสิบสี่ หนูเริ่มต่อสู้กับหลายๆ คำถามเกี่ยวกับความเชื่อของคริสเตียน  ตลอดเจ็ดปีนับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา หนูใช้เวลานับไม่ถ้วนศึกษาโลกทัศน์ของคริสเตียนและการปกป้องความเชื่อของคริสเตียนกับโลกทัศน์แบบอื่นๆ ด้วย  หนูมองไม่เห็นการขาดหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อของคริสเตียน แต่ก็จะมีคำถามอื่นๆ ผุดขึ้นมาในหัวของหนูมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นคำถามที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีคำตอบไหนจุใจมากพอที่จะทำให้หนูรู้สึกว่าหนูเชื่อสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในพระคำของพระเจ้าได้ด้วยความสัตย์จริง  สุดท้ายแล้ว หนูก็ไม่เข้าใจเลยว่าจะรู้ได้ยังไงว่าความจริงอันไหนเป็นความจริงที่แน่นอน เพราะหนูจะไม่มีทางรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดๆ ก็ตามได้ทั้งหมด มนุษย์ที่มีขีดจำกัดอย่างเราจะสามารถแน่ใจได้อย่างไรคะว่าเราได้ค้นพบความจริงเมื่อเราต่างถูกจำกัดโดยความเป็นมนุษย์ของเราเอง? 

อืม นี่เป็นคำถามที่ดีมากๆ  ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการรู้ ความแน่ใจ และความมั่นใจเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากๆ  ทุกคนต้องรับมือกับเรื่องนี้ในช่วงหนึ่งของชีวิต  ดังนั้น ตามที่ผมเข้าใจ นี่เป็นคำถามที่สำคัญ เป็นคำถามขั้นสุดท้าย และคำถามที่ชี้ขาด คือ เราในฐานะมนุษย์ที่จำกัดจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราได้ค้นพบความจริงในเมื่อเรามีขีดจำกัดในความเป็นมนุษย์ของเรา?  เรามีความจำกัด แต่เราก็ต้องการความแน่ใจ และทั้งสองก็ดูเหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้

ดังนั้น ก่อนที่ผมจะตอบคำถามนั้น (และผมก็จะให้คำตอบที่ผมคิดว่าถูกต้องตามพระคัมภีร์ด้วย) ผมจะขอวางความจริงแห่งพระคำไว้ตรงหน้าเราก่อน  อย่างแรก เราต้องแน่ใจก่อนว่าเรารู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาให้เรามีความมั่นใจอย่างเต็มที่จริงๆ เกี่ยวกับสภาพความเป็นจริงของพระองค์และความจริงแห่งข่าวประเสริฐ คือความมั่นใจอย่างเต็มขนาด ความแน่ใจ และความเชื่อมั่นอันลึกซึ้ง เข้มแข็ง และไม่หวั่นไหว  พระองค์ไม่ได้ทรงออกแบบโลกที่สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่ล้มลงในความบาปและมีขีดจำกัด

  • 1 ยอห์น 5:13 “ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะรู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์”
  • ยอห์น 7:17 “ถ้าผู้ใดเลือกที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นจะรู้ว่าคำสอนของเรามาจากพระเจ้าหรือเราพูดเอาเอง”
  • ฮีบรู 6:11 “เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคนสำแดงความพากเพียรนี้จนถึงที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง” 
  • โคโลสี 2:1-2 “ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าข้าพเจ้า ตรากตรำมากเพียงไรเพื่อท่าน [และพวกเขา] …ให้พวกเขาได้รับกำลังใจ…เพื่อเขาจะได้แน่ใจได้อย่างที่สุดว่าเขาเข้าใจ จริงๆ …”
  • โรม 1:20-21 “เพราะตั้งแต่ทรงสร้างโลก เราก็เห็นและเข้าใจสภาวะที่เราไม่อาจมองเห็นได้ของพระเจ้า….จากสิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีข้อแก้ตัวเลยเพราะแม้ว่าพวกเขารู้จักพระเจ้า”  พวกเขารู้จักพระเจ้านะ  “พวกเขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า” 

ดังนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงออกแบบโลก และหนทางแห่งความรอด และกระบวนการแห่งการเปิดเผย และธรรมชาติของพระคัมภีร์ และการงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพียงเพื่อ… พระองค์ไม่ได้ทรงออกแบบสิ่งต่างๆ เหล่านี้เพียงเพื่อที่เราจะมีเพียงแค่ความน่าจะเป็นดีๆ ในการตัดสินเกี่ยวกับความจริง พระองค์ไม่ได้ทรงอยากให้เราเอานิ้วไขว้กันเพื่อภาวนาให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง  ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งดูฟุตบอลโลกในรอบสุดท้าย พวกเขาแสดงให้เห็นภาพของ (ผมคิดว่าน่าจะเป็น) ผู้หญิงคนหนึ่งจากอาร์เจนตินาและเธอก็ทำสัญลักษณ์เอานิ้วไขว้กันในนาทีสุดท้าย  แล้วผมก็คิดว่า : นั่นไม่ใช่วิธีที่เราจะเข้าไปสู่การพิพากษาในวันสุดท้ายโดยการทำนิ้วไขว้กันเลย แบบ “โธ่ ไม่แน่ใจนะว่าฉันจะรอดในวันสุดท้ายหรือเปล่า” มันน่าเศร้าหากคริสเตียนจะต้องตายพร้อมกับการต้องคอยวัดดวงเอา พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้เราต้องมาเสี่ยงโชคอีกด้วย

ดังนั้น อลิซซาทำถูกแล้วที่ถามคำถามว่า “จะรู้ได้อย่างไร”  นั่นเป็นคำถามที่ถูกต้อง คือ มนุษย์ที่จำกัดจะสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าเราได้ค้นพบความจริงแล้ว (ไม่ใช่มนุษย์จะสามารถมีความแน่ใจได้ไหม)?

และผมคิดว่าคำตอบมีสองระดับด้วยกัน  ความแน่ใจที่ได้รับการยืนยันแล้วของความน่าเชื่อถือของคนๆ หนึ่งเป็นมากกว่าผลรวมของหลักฐานต่างๆ ที่ได้จากประสบการณ์และการสังเกตว่าคนๆ นั้นเชื่อถือได้  ผมรู้ว่านี่เป็นประโยคที่ซับซ้อนหน่อย ที่ผมหมายถึงคือ ความแน่ใจที่ได้รับการยืนยันแล้วเป็นมากกว่าการเพิ่มหลักฐานเข้าไป หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าอย่าง อ้อ ผมมีหลักฐานหกอย่างที่บอกว่าพระองค์คือผู้ที่เชื่อถือได้แล้ว ตอนนี้ผมแน่ใจได้แล้ว  ทำแบบนั้นไม่ได้ ทำแบบนั้นไม่ได้เลย เพราะคุณสามารถถามคำถามอีกข้อได้เสมอ ใช่ไหม?

ผมเชื่อใจภรรยาของผมว่าเธอจะซื่อสัตย์ต่อผม ผมสามารถให้หลักฐานได้จากประสบการณ์ที่มี ซึ่งก็มีอย่างมากมาย  แต่สุดท้ายก็จะมีความเคลือบแคลงอยู่เสมอ (ใช่ไหม) ว่านี่เป็นเพียงลิสต์ของหลักฐานต่างๆ หรือไม่ เพราะเธออาจจะหลอกผมได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่นเดียวกับที่อลิซซาพูดเกี่ยวกับความรู้ที่เธอมีเกี่ยวกับพระเจ้า  เธอได้ศึกษา เธอถามหลายคำถาม เธอได้คำตอบหลายคำตอบ และดูเหมือนว่าจะมีคำถามอื่นตามมาอีกเสมอเพราะเธอมีขีดจำกัด และผมก็สามารถเข้าใจผิดเกี่ยวกับโนเอล (ภรรยาของผม) ได้เหมือนกัน 

อันที่จริง ผมไม่มีความกังขาเลยว่าโนเอลจะซื่อสัตย์กับผมหรือไม่ เธอซื่อสัตย์กับผมแน่ ผมไม่เคยนอนไม่หลับเพราะเรื่องนั้นเลย  ดังนั้น ในเชิงประสบการณ์ ผมก็มีความแน่ใจที่ใช้การได้และความแน่ใจนี้เป็นมากกว่าผลรวมของส่วนประกอบต่างๆ  นี่เป็นความมั่นใจแบบส่วนตัวที่มาจากการได้พบเจอแบบส่วนตัว  การรู้จักเธอทำให้เกิดบางอย่างขึ้นในหลักฐาน (ใช่แล้ว) และจากนั้นก็ไปไกลเกินกว่าหลักฐานในทางความรู้สึก และผมคิดว่าเราสามารถมีความรู้อย่างเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับพระเยซูแบบนั้นได้โดยการเปิดรับการเปิดเผยเกี่ยวกับตัวพระองค์เองตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์  ยิ่งคุณรู้จักพระองค์มากขึ้น คุณก็จะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นว่าพระองค์เชื่อถือได้

และอีกระดับก็คือ พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบความแน่ใจให้กับเราโดยการกระซิบข้างหูเราว่าเราเป็นคนที่เชื่อถือได้ หรือพระองค์คือผู้ที่เชื่อถือได้ กระนั้นก็ยังทรงมอบความแน่ใจให้กับเราอยู่  ความมั่นใจคือของขวัญจากพระเจ้า  พระองค์ทำสิ่งนี้โดยการเปิดตาของเรา คือตาใจของเรา เพื่อจะเห็นพระเกียรติสิริซึ่งเป็นหลักฐานในตัวของเองของจริงของพระเจ้าแห่งข่าวประเสริฐ และผมก็ได้สิ่งนี้มาจากเอเฟซัส บทที่1 บางส่วน แต่หลักๆ ก็มาจาก 2 โครินธ์ 4:4 ที่บอกว่า “พระของยุคนี้ทำให้จิตใจของผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป เพื่อพวกเขาจะไม่สามารถเห็นแสงสว่างแห่งข่าวประเสริฐอันทรงพระเกียรติสิริของพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” และข้อ 6 พูดต่อว่า “เพราะพระเจ้าผู้ตรัสสั่งว่า ‘ให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืดมิด’ ทรงให้แสงสว่างของพระองค์ส่องเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้าในพระพักตร์ของพระคริสต์”

ดังนั้น ในทั้งสองกรณี พระเจ้าคือผู้ประทานความสว่าง  ความสว่างนั้นคือแสงสว่างแห่งข่าวประเสริฐหรือแสงสว่างแห่งความรู้ และที่เจาะจงไปกว่านั้น ความสว่างนั้นคือความรู้แห่งพระเกียรติสิริหรือข่าวประเสริฐแห่งพระเกียรติสิริ  ดังนั้น มีการเปิดเผยของพระเกียรติสิริของพระเจ้า (คือพระเกียรติสิริแห่งพระคริสต์) ในข่าวประเสริฐ ในความรู้แห่งการเปิดเผยตามประวัติศาสตร์ที่มอบไว้ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นหลักฐานรับรองความถูกต้องในตัวเอง  มีวลีหนึ่งของโจนาธาน เอ็นเวิร์ด ที่กล่าวว่า มีความสว่างที่มาจากพระเจ้าและอยู่เหนือธรรมชาติซึ่งประทานให้แก่จิตวิญญาณโดยการงานของพระเจ้า ซึ่งก็คือการมองเห็นที่แท้จริง

มันคือการมองเห็นที่แท้จริง สิ่งนี้สำคัญมาก มันไม่ใช่การมองเห็นที่ไร้เหตุผล แต่คือการมองเห็นที่แท้จริงของสิ่งที่อยู่ตรงนั้นจริงๆ มันไม่ใช่การคาดเดาหรือแค่การอนุมานที่อยู่บนพื้นฐานของตรรกะที่ผิดพลาดได้ มันคือของขวัญจากพระเจ้าผ่านทางวิธีธรรมดาของการรู้จักข่าวประเสริฐ และเราก็ควรอธิษฐานขอสิ่งนี้  และนั่นจะเป็นคำแนะนำทิ้งท้ายของผม คือที่เราจะอธิษฐานว่า (ที่อลิซซาจะอธิษฐานว่า) “ขอทรงเปิดตาของลูกเพื่อจะได้เห็นแสงสว่างแห่งพระเกียรติสิริอันอัศจรรย์และเป็นหลักฐานรับรองความถูกต้องในตัวเองในพระคำของพระองค์ด้วยเถิด”

ใช่เลยครับ ขอบคุณครับอาจารย์จอห์น และขอบคุณสำหรับคำถามครับ


English Version: “How Can I Know the Gospel is True?

Categories

Saphan Siam exists to be a bridge between the Thai church and biblical, timely and trusted resources.

Learn More

สองทางชีวิต

ติดตามเรา