ผู้อ่านส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าพระคัมภีร์ปฐมกาลนั้นได้ถูกเขียนขึ้นมาอย่างตั้งใจ เราค่อนข้างจะเคยชินกับการอ่านทีละเรื่อง คริสเตียนได้อ่านพระคัมภีร์ปฐมกาล ทั้งในการนมัสการและส่วนตัว เสมือนว่าพระคัมภีร์ปฐมกาลไม่ควรจะถูกตีความเป็นเรื่องเดียว ผลที่ตามมาก็คือการที่เราพลาดที่จะมองเห็นสิ่งสำคัญหลายอย่าง ผมจะกล่าวถึงสามสิ่งสำคัญในพระคัมภีร์ปฐมกาลที่เราควรจะสังเกตุเห็น
1. พระคัมภีร์ปฐมกาลได้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อที่จะติดตามประวัติของสายเลือดไม่ธรรมดาสายเลือดหนึ่ง
ข้อแรกก็คือ พระคัมภีร์ปฐมกาลได้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อที่จะติดตามประวัติของสายเลือดไม่ธรรมดาสายเลือดหนึ่ง ซึ่งสายเลือดนี้ชี้ให้เราเห็นความสำคัญของสมาชิดครอบครัวเพศชาย หนึ่งคนต่อหนึ่งชั่วคน (patriline) ชื่อของพระคัมภีร์เล่มนี้มาจากคำศัพท์ภาษากรีก ซึ่งความหมายดั้งเดิมนั้นก็คือ “เรื่องราวลำดับของวงศ์ตระกูล” (patriline) นี้เริ่มต้นจากอาดัม ผ่านทางเสท บุตรคนที่สามของเขา จนถึงโนอาห์ จากโนอาห์ (patriline) ผ่านทางเชมจนถึงอับราฮัม ถัดจากนั้น เรื่องราวของสายเลือดนี้ถูกเล่าช้าลง แต่เป็นที่ชัดเจนว่าความน่าสนใจของสายเลือดนี้ยังมีอยู่ต่อไป อุปสรรคหนึ่งนั้นก็คือการที่ซาร่าห์ไม่สามารถตั้งท้องได้ แต่พระเจ้าก็ได้ทำให้ซาร่าห์มีบุตรได้ บุตรคนนั้นก็คืออิสอัค ต่อไปจากอิสอัค (patriline)ผ่านไปทางยาโคบ ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นอิสราเอลและผู้เป็นน้องชายของเอซาว ในความเป็นจริงนั้นเอซาวควรจะได้เป็น(patriline) แต่เขาได้ทิ้งสิทธิของเขาด้วยการแลกมันกับสตูถ้วยเดียวให้ยาโคบ น้องชายของเขาผู้ที่ต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งใน (patriline) (ปฐมกาล 25:29-34) ถัดไปจากยาโคบ (patriline)เน้นเรื่องราวของโยเซฟ (5:1-2) และบุตรชายคนเล็กของเขาชื่อเอฟราอิม ผู้ซึ่งยาโคบแต่งตั้งให้เป็นใหญ่เหนือกว่ามนัสเสห์ พี่ชายคนโตของเขา (ปฐมกาล 48:13-20) เป็นที่น่าสนใจว่าพระคัมภีร์ปฐมกาลได้บอกใบ้ให้ผู้อ่านว่าทำไม(patriline)ถึงข้ามบุตรคนโต (เรื่องอื้อฉาวของการที่รูเบนคบชู้กับบิลฮาห์ในปฐมกาล 35:22)
ในระหว่างที่โยเซฟได้เป็นใหญ่กว่าพี่ชายทั้งหลายของเขา พระคัมภีร์ปฐมกาลเล่าเรื่องหักมุมสำคัญเกี่ยวกับ(patriline) ในบทที่ 38 ซึ่งหลายคนอ่านมันผ่านๆเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆที่รบกวนเรื่องใหญ่กว่าของชีวิตโยเซฟ ในบทนี้ ยูดาห์เป็นตัวละครหลักของเรื่อง ถ้าเรารู้เรื่องเกี่ยวกับ(patriline) ระหว่างที่เราอ่านเรื่องนี้ ก็จะเป็นที่ชัดเจนว่าปฐมกาลบทที่ 38 นั้นคือการติดตามประวัติของสายเลือดของยูดาห์ ซึ่งได้ตกอยู่ในอันตรายเมื่อบุตรคนโตของเขาถูกพระเจ้าลงโทษถึงตาย แต่การขัดขวางจากทามาร์นั้นทำให้ชีวิตของยูดาห์เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และก็ทำให้เกิดลูกแฝด เมื่อถึงคราวคลอดลูก สิทธิของบุตรคนโตที่จะได้รับมรดกนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อเปเรศคลอดก่อนเศราห์ หลังจากนั้น ยาโคบให้พรกับยูดาห์ ซึ่งพรนั้นชี้ว่ากษัตริย์ในอนาคตนั้นจะมาจากสายเลือดของเขา (ปฐมกาล 49:8-12) ถัดมาหลายศตวรรษ พรนี้ก็เป็นจริงขึ้นมาในยุคของซามูเอล (สดุดี 78:67-72 )
ทำไม(patriline)ถึงสำคัญขนาดนี้? เริ่มตั้งแต่ปฐมกาล 3:15 (patriline)นำเราไปถึงทายาทของเอวาผู้ที่จะล้มล้างงูร้ายผู้เป็นศัตรูของพระเจ้า เรื่องราวของปฐมกาลบอกเราว่าทายาทคนนี้นั้นคือกษัตริย์ผู้ที่จะประทานพรจากพระเจ้าให้กับประชาชาติทั้งหลาย ทายาทคนนี้ก็จะทำหน้าที่เป็นอุปราชของพระเจ้าโดยการสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ ความคาดหวังนี้หมายความว่าพระคัมภีร์ปฐมกาลชี้นำผู้อ่านให้มองเห็นการมาถึงของพระเยซูคริสต์
2. พระเจ้าประทานพันธสัญญาให้กับอับราฮัม ซึ่งเป็นการจัดตั้งให้เขาเป็นบิดาแห่งชนชาติต่างๆ
สิ่งที่สอง เพราะเบื้องหลัง(patriline) ของพระคัมภีร์ปฐมกาล พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับราฮัมและบอกเขาว่าเขาจะได้เป็นบิดาแห่งชนชาติต่างๆ (ปฐมกาล 17:4-5) ผู้อ่านส่วนใหญ่ รวมถึงนักวิจัย โฟกัสตรงที่พันธสัญญาในบทที่ 15 ซึ่งเกี่ยวกับการที่อับราฮัมเป็นบิดาของชนชาติอิสราเอลชาติเดียว อย่างไรก็ตาม พันธสัญญาในปฐมกาลบทที่ 17 มีความสำคัญมากกว่าพอสมควร และพันธสัญญานี้ขยายสัญญาเก่าโดยการให้อับราฮัมเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ นี้ไม่ใช่การเป็นบิดาทางสายเลือด แต่เป็นทางจิตวิญญาณ พันธสัญญานี้เป็นการรับประกันว่าทายาทของอับราฮัมจะเป็นผู้ให้พรของพระเจ้ากับทุกคนที่ยอมรับว่าเขาเป็นกษัตริย์ ด้วยเหตุผลนี้ ความคาดหวังว่าชนชาติทั้งหลายจะรับใช้กษัตริย์ในอนาคตผู้นี้เห็นได้ชัดเจนในพรที่อิสอัคผู้เป็นพ่อให้กับยาโคบ (ปฐมกาล 27:29) และที่ยาโคบให้กับยูดาห์ (ปฐมกาล 49:10) เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ใหม่ เราก็จะเห็นว่าอัครสาวกเปโตรมองเห็นว่าพระเยซูคริสต์นั้นคือผู้ที่รักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับอับราฮัม (กิจการ 3:25-26) และในแบบเดียวกัน อัครสาวกเปาโลได้สอนว่าคำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ในพันธสัญญากับอับราฮัมนั้นเป็นเหตุผลที่คนต่างชาติได้เข้ามาเป็นผู้คนของพระเจ้า (กาลาเทีย 3:15-29)
3. ใจความของพรนี้เกี่ยวข้องกับ (patriline) ซึ่งก็ชี้นำให้เรามองเห็นถึงพระเยซู
ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของปฐมกาลที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนั้นก็คือการที่พรนั้นเกี่ยวข้องกับ (patriline)ที่ชี้นำเราไปสู่พระเยซู ในสวนอีเดน การทำบาปของอาดับและเอวานำไปสู่พระพิโรธของพระเจ้า ซึ่งส่งผลลบต่อมนุษยชาติ แต่ในทางกลับกัน การที่พระเจ้าได้เรียกอับราฮัมนั้นคือการที่พระองค์ทรงประทานพรให้กับทุกครอบครัวในโลก (ปฐมกาล 12:1-3) พระพรนี้ถูกเชื่อมโยงกับทายาทของอับราฮัม (ปฐมกาล 22:18) ถึงแม้ว่าหลายคนเชื่อว่าพระพรนี้จะถูกประทานมาทางชนชาติอิสราเอลทั้งหมด พระคัมภีร์ปฐมกาลนั้นจำกัดต้นตอของพรนี้ แค่เพียงผู้ที่อยู่ใน (patriline) พระพรนี้ (berakah) เชื่อมโยงกับบุคคลที่สิทธิของบุตรคนโต (bekorah) เราเห็นสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจนในเรื่องราวของยาโกบและเอซาว ในการที่ยาโคบเป็นผู้ที่นำพระพรไปให้กับคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลาบัน ลุงของเขาได้รับรอง (ปฐมกาล 30:27-30) และในทางเดียวกัน โยเซฟก็ได้เป็นต้นตอของพระพรนี้ให้กับหลายคนอื่นๆ ซึ่งก็คือใจความของปฐมกาล 39:5 ในการที่โปทิฟาร์ มีใน“บ้านและทุ่งนา” และหลังจากนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะถูกจองจำ โยเซฟได้ถูกยกย่องให้เป็น “บิดาของฟาโรห์” (ปฐมกาล 45:8) และเป็นที่มาของพรที่จะให้กับชนชาติต่างๆในช่วงเวลาของภัยพิบัติแห้งแล้ง
การอ่านพระคัมภีร์ปฐมกาลอย่างสมบูรณ์รอบคอบนั้นทำให้เราเห็นชัดเจนว่าพระคัมภีร์นั้นถูกเรียบเรียงอย่างชำนาญ ปฐมกาลนำข้อมูลหลายแบบมารวมกัน เพื่อที่จะชี้ให้ผู้อ่านมองเห็นพระเยซู ผู้ซึ่งเป็นต้นตอของพระพรจากพระเจ้าที่ทรงให้แก่เราทั้งหมด
English version: “3 Things You Should Know About Genesis” by T. Desmond Alexander