“การลงวินัย” คำนี้เป็นคำที่ทำให้หลายคนกลัวจนตัวสั่น หัวข้อนี้เต็มไปด้วยคำถาม คำถามเกี่ยวกับความยุติธรรม เกี่ยวกับการให้อภัย ความเมตตาปราณี และความรัก หัวข้อนี้ก็เต็มไปด้วยคำกล่าวหา คำกล่าวหาเรื่องของความความยโสโอหัง การแตกแยก เรื่องของการถือว่าตัวเองชอบธรรมและการตัดสินคนอื่น
และถ้าเราคิดตามความเป็นจริง เรากลัวสิ่งที่คนอื่นจะคิดเกี่ยวกับคริสตจักรของเรา ถ้าเราชาวคริสเตียนผู้ซึ่งได้รับการอภัยบาปจากพระเยซูใช้การลงวินัยตัดสินคนอื่นเมื่อเขาทำบาป ชาวบ้านจะคิดกับเราอย่างไร
ผมเข้าใจว่าทำไมหลายคนต่อต้านการลงวินัย ว่าทำไมหลายคนลังเลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมอยากจะบอกว่าเป็นไปได้ว่าคุณอาจจะคิดถึงสิ่งที่คนอื่นจะคิดเกี่ยวกับเรามากไปนิดนึง ข้ออ้างเหล่านี้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนอื่นคิดมากเกินไป เราอยู่ในยุคสมัยของการไม่ตัดสินเรื่องของคนอื่น และมันทำให้เรารู้สึกว่าการลงวินัยคือการตัดสินคนอื่น และการตัดสินคนอื่นไม่ทำให้เกิดผลดีแน่ๆ
ไม่จริงหรือที่เราก็ควรที่จะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของคริสตจักรของเรา พระเยซูเป็นคนสอนเองว่าพระองค์ต้องการให้เราส่องแสงสว่างเสมือนเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่ไม่สามารถปิดบังแสงสว่างได้ (มันธิว 5:14-16) พระองค์ต้องการให้โลกรู้ว่าเราเป็นสาวกของพระองค์ด้วยการที่เรารักกัน (ยอห์น 13:34)
ดังนั้น คำถามสำคัญก็คือ การลงวินัยและการดูแลรักษาชื่อเสียงของคริสตจักรท้องถิ่นเกี่ยวข้องกันอย่างไรอย่างไร
ไม่นานมานี้ ผมได้อ่านพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ในเวลาเฝ้าเดี่ยวของผม และอัครสาวกเปาโลช่วยให้ผมคิดเรื่องนี้ด้วยการถามคำถามเดียวกัน แต่ถามในอีกแบบหนึ่ง คำถามไม่ใช่ “การลงวินัยจะสื่อสารอะไรเกี่ยวกับคริสจักรของเรา” คำถามที่ดีกว่านั้นก็คือ “การที่เราปล่อยปะละเลยการลงวินัยนี้จะสื่อสารอะไรเกี่ยวกับคริสจักรของเรา” เปาโลสอนว่าการที่เราไม่ยอมลงวินัยกับสมาชิกคริสจักรที่ไม่ยอมกลับใจจากบาป (นั้นคือ การเอาชื่อของเขาออกจากรายชื่อสมาชิก ไม่อนุญาติให้เขาเข้าร่วมพิธีมหาสนิท เพื่อที่จะให้เขาได้รู้สำนึกว่าบาปของเขาอาจจะเป็นหลักฐานว่าความศรัทธาของเขาอาจจะไม่เป็นความศรัทธาที่แท้จริง) การที่เราไม่ยอมลงวินัยนั้นมีผลเสียอย่างน้อย 8 ข้อ
ไม่น่าแปลกใจว่า 8 ข้อนี้ก็คือ 8 อย่างที่เรากลัวว่าชาวบ้านจะคิดเกี่ยวกับเราถ้าเราเชื่อในการลงวินัย
อย่างแรกคือ เราคิดว่าการลงวินัยนั้นมาจากความเย่อหยิ่ง แต่ในความเป็นจริง เปาโลสอนว่า การที่เราไม่ยอมลงวินัยต่างหากที่เกิดจากความเย่อหยิ่ง
เราคิดว่าตรรกะเป็นอย่างนี้: เราเป็นใคร ที่จะคิดว่าเรามีสิทธิที่จะตัดสินคนอื่น? เราทุกคนเป็นคนบาปเหมือนกันไม่ใช่หรือ? การลงวินัยดูเหมือนการที่เราตัดสินว่าบาปของคนอื่นนั้นชั่วร้ายมากกว่าบาปของเราเอง ทำเสมือนว่าบาปของจนอื่นสมควรต่อการโดนตำหนิในที่สาธารณะ ในขณะเดียวกัน บาปของเราไม่ได้ชั่วร้ายพอ
ปัญหาคือ ตรรกะของเปาโลในจดหมาย 1 โครินธ์ 5:1-2 นั้นเป็นอีกแบบนึงเลย “คนหนึ่งเอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน และพวกท่านยังผยอง! ท่านน่าจะโศกเศร้าเสียใจและเลิกคบคนที่ทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?” พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ การที่เราไม่ยอมลงวินัยนั้นเป็นเสมือนการที่เราเปลี่ยนความหมายที่พระคัมภีร์สอนเกี่ยวชีวิตของคริสเตียน นี่เป็นเสมือนการเขียนทับพระคัมภีร์พระคัมภีร์
อย่างที่สอง เราคิดว่าการลงวินัยนั้นทำให้เกิดความแตกแยก แต่ว่าเปาโลสอนว่าการที่เราไม่ยอมลงวินัยนั้นต่างหากที่ทำให้เกิดความแตกแยก
เป็นธรรมดาที่เราจะคิดว่าการเอาผู้ที่ไม่ยอมกลับใจจากบาปออกจากสมาชิกคริสตจักรเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยก แต่ในความเป็นจริงนั้น เปาโลสอนคริสเตียนในโครินธ์ว่า “ผู้ที่ทำตัวเช่นนี้จะต้องถูกขับออกจากหมู่พวกท่าน”
ผมอยากจะแนะนำให้ผู้อ่านลองพิจารณาประโยคนี้ “ขับออกไปจากหมู่พวกท่าน” ประโยคนี้หมายความว่า ตราบใดก็ตามที่มีผู้ที่ไม่ยอมกลับใจจากบาปอยู่ท่ามกลางกลุ่มของท่าน (ทำตัวเสมือนว่าเขาเป็นสมาชิกกลุ่มของท่านและคนอื่นนับว่าเขาอยู่ในกลุ่มของท่าน) คนผู้นั้นคือคนที่สร้างความแตกแยก ด้วยการที่เขานำการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยบาปเข้ามา แม้ว้าสิ่งที่เขาควรจะนำเข้ามาคือชีวิตที่เต็มไปด้วยการกลับใจ สันติภาพระหว่างสมาชิกของคริสตจักรกับบาปของเขาไม่ได้ต่างไปจากการทำลายสันติภาพในคริสตจักรเลย
อย่างที่สาม เราคิดไปเองว่าการลงวินัยคือการปฏิบัติที่โง่เขลา แต่เปาโลนั้นสอนว่าการไม่ยอมลงวินัยต่างหากที่โง่เขลา
ปัญหาคือเราคิดไปเองว่าคนอื่นจะนินทาเรา ว่าเราไม่มีความอดทนกับคนบาป ว่าคริสตจักรของเราไม่ยอมให้อภัยกับคนบาป เราคิดว่า ต่อให้เราลงวินัยอย่างถูกต้อง คนอื่นก็นินทาลับหลังเราอยู่ดี แล้วเราจะลงวินัยไปเพื่ออะไร ใครที่ไหนจะอยากมาร่วมคริสตจักรที่ชอบไล่สมาชิกออกเป็นประจำ นี่คือธุรกิจล้มเหลวชัดๆ คริสตจักรจะเติบโตด้วยการลงวินัยแบบนี้ได้อย่างไรกัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาได้เขียนประโยคนี้ “ข้าพเจ้าได้ตัดสินคนที่ทำอย่างนั้น” เปาโลได้คิดถึงประเด็นนี้เรียบร้อยแล้ว เปาโลสอนอย่างชัดเจนว่าเราควรจะปฏิบัติอย่างไรกับเพื่อนร่วมสมาชิกคริสจักรที่ทำตัวเป็นมิตรกับความบาปใหญ่หลวงของเขา (คนที่เปาโลพูดถึงเอาภรรยาของบิดามาเป็นของตนเอง หมายถึงบาปที่เขาทำอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ในอดีต) หากเขาทำตัวเช่นนี้ เราต้องเลิกคบกับเขาในฐานะสมาชิกคริสตจักร เพื่อเป็นการประกาศว่าคริสตจักรของเรามีแนวทางปฏิบัติหมือนกับสิ่งที่เราสอนจริงๆ นี่คือปัญญา ไม่ใช่ความโง่เขลา
อย่างที่สี่ เราคิดไปเองว่าการลงวินัยเป็นเสมือนการไม่ให้ความรัก แต่เปาโลมีความคิดแบบตรงกันข้ามเลย ว่าการไม่ยอมลงวินัยต่างหากที่เป็นการไม่ให้ความรัก
“การลงวินัยคือการละเมิดกฎของมัทธิว 7:1 (อย่าตัดสิน มิฉะนั้นท่านเองจะถูกตัดสินด้วย) ไม่ใช่หรือ” แต่ผมอยากจะถามคุณว่า คุณโอเคหรือไม่ที่จะให้คนอื่น “รัก” คุณด้วยการสนับสนุนให้คุณจมอยู่ในบาปจนถึงขั้นตกนรก? คำถามนี้อาจจะดูรุนแรงไปนิดนึง แต่นี่คือสิ่งที่เปาโลสอนเราใน 1 โครินธ์ 5:5 “จงมอบคนนั้นไว้กับซาตาน เพื่อวิสัยบาปของเขาจะถูกทำลายและจิตวิญญาณของเขาจะรอดได้ในวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า”
อธิบายอีกแบบหนึ่งก็คือ เปาโลสอนว่าให้ปล่อยสมาชิกของคริสตจักรที่ไม่ยอมกลับใจคนนั้นไป ให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่เขาต้องการ เพื่อที่เข้าจะได้รู้สึกถึงโทษของบาปที่เขารัก เพื่อที่เขาจะได้กลับใจเชื่อและได้รับความรอดจากนรกก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา (มัทธิว 5:29-30, ยากอบ 5:19-20 ) การกลับใจเชื่อเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ถ้าเราอยากได้รับความรอด
อย่างที่ห้า เราคิดไปเองว่าการลงวินัยคือการปฏิบัติที่ไม่บริสุทธิ์ แต่เปาโลสอนว่าการไม่ยอมลงวินัยต่างหากที่ไม่บริสุทธิ์
การคิดถึงเรื่องการลงวินัยอาจจะทำให้เราจินตนาการว่ามันเป็นเหมือนการเมืองสกปรกของคริสตจักร หรือการที่สมาชิกหาทางเอาคืนเพื่อนร่วมคริสตจักร แต่เปาโลไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย เขาสอนว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อเพียงนิดเดียวทำให้แป้งทั้งก้อนฟูขึ้น? จงชำระเชื้อเก่าเพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ไร้เชื้ออย่างที่ท่านเป็นอยู่จริงๆ” ธรรมชาติของบาปคือการที่มันแผ่ขยาย การที่เราปล่อยให้บาปแพร่กระจายนั้นทั้งไม่บริสุทธิ์และอันตราย
อย่างที่หก เราคิดไปเองว่าการลงวินัยนั้นมาจากความเสแสร้ง แต่เปาโลสอนว่าการไม่ยอมลงวินัยต่างหากสร้างความเสแสร้ง
“ดูสิ คริสตจักรนี้เต็มไปด้วยคริสเตียนปลอม มีแต่พวกที่ไม่เป็นมิตรกับคนอื่นที่ไม่เหมือนพวกเขา” ผมเองยอมรับว่าคริสตจักรเสแสร้งนั้นมีอยู่จริง แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เราไม่ทำตามสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกัยการลงวินัยใน 1โครินธ์ 5:8 “ฉะนั้นให้เราถือเทศกาลนี้ไม่ใช่ด้วยเชื้อเก่าอันเป็นเชื้อของความชั่วร้ายเลวทราม แต่ด้วยขนมปังไม่มีเชื้อคือขนมปังแห่งความจริงใจและสัจจะ”
การที่เราไม่ยอมลงวินัยนั้นคือการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเสแสร้ง คริสตจักรที่จริงใจคือคริสตจักรที่ลงวินัย เมื่อไรที่คุณหาคริสตจักรที่ยอมลงวินัยเจอ ผมคิดว่าเมื่อนั้นคุณได้พบเจอคริสตจักรที่แท้จริง
อย่างที่เจ็ด เราคิดไปเองว่าการลงวินัยทำให้เกิดความสับสน แต่ในทางที่แท้จริง เปาโลกลับสอนว่าการไม่ยอมลงวินัยต่างหากที่ทำให้เกิดความสับสน
“การที่เราปฏิบัติอย่างรุนแรงกับสมาชิกคริสตจักรจะไม่ทำให้คนอื่นๆสับสนเกี่ยวกับความดีของพระเจ้าหรือ” เปาโลไม่ได้คิดแบบนี้ เขาคิดแบบตรงข้ามเลยทีเดียว “แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเพื่อจะบอกว่าอย่าไปคบคนที่เรียกตนเองว่าพี่น้องแต่ยังผิดศีลธรรมทางเพศ หรือโลภ กราบไหว้รูปเคารพหรือชอบนินทาว่าร้าย ขี้เมาหรือฉ้อฉล คนแบบนี้แม้แต่ร่วมรับประทานอาหารก็อย่าเลย”
เราทำให้คนอื่นสับสนเมื่อเรายอมให้สมาชิกคริสตจักรเชื่อว่าตัวเขาเองเป็นคริสเตียนในขณะที่เขายังรักบาปของเขา พระเยซูเป็นคนไร้ศีลธรรมหรือ ท่านเป็นคนโลภหรือ พระเยซูเป็นคนชอบนินทาว่าร้าย คนขี้เมา หรือคนคดโกงหรือ ไม่สมควรที่คริสตจักรจะยอมให้คนไร้ศีลธรรมใช้พระนามของพระคริสต์ การทำอย่างนี้คือการทำให้คนอื่นสับสน
และอย่างสุดท้าย เราคิดไปเองว่าการลงวินัยนั้นไม่ยุติธรรม แต่เปาโลสอนว่าการไม่ลงวินัยต่างหากที่ไม่ยุติธรรม
ไม่จริงหรือที่การลงวินัยเป็นเสมือนการที่สมาชิกคริสตจักรรวมกลุ่มกันรังแกคนอื่น มันดูไม่ยุติธรรมชัดๆ พระคัมภีร์ไม่ได้สอนแบบนี้เลย เปาโลถามว่า “เป็นธุระอะไรของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินคนนอกคริสตจักร? ท่านต้องตัดสินคนในคริสตจักรไม่ใช่หรือ? พระเจ้าจะทรงตัดสินคนนอกคริสตจักรเหล่านั้น “จงขับคนชั่วร้ายออกไปจากหมู่พวกท่าน” (1โครินธ์ 5:12-13) ความยุติธรรมไม่ได้หมายความว่าเราตัดสินไม่ได้ ตรงกันข้ามกันเลย ความยุติธรรมนั้นทำให้เราต้องตัดสิน (ยอห์น 7:24)
เป็นความจริงที่ชาวบ้านอาจจะนินทาว่าร้ายคริสตจักรของเราเมื่อเราลงวินัยคนบาปที่ไม่ยอมกลับใจ แต่ผมอยากจะเสนอว่าต่อให้คุณไม่ยอมลงวินัย อย่างไรก็จะมีชาวบ้านไม่พอใจอยู่ดี และในแบบนี้ มันก็คล้ายกับความไม่พอใจของพระเจ้าต่อความไม่เชื่อฟังของเรา
โดย พอล อเล็กซานเดอร์
English Version: “Eight Reasons Your Excuses for Not Practicing Church Discipline Don’t Work” by Paul Alexander