นักเขียนและนักศาสนศาสตร์ เดวิด เวลล์ รายงานในหนังสือ “God in the Wasteland” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1994 ว่า “บรรดานักศึกษา (พระคริสตธรรม) รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันในคริสตจักร พวกเขาเชื่อว่าคริสตจักรได้สูญเสียนิมิตของตัวเองไปและพวกเขาก็ต้องการจากคริสตจักรมากกว่าที่คริสตจักรได้ให้กับพวกเขา” แต่ความไม่พอใจเท่านั้นยังไม่พออย่างที่เวลล์เห็นด้วย เราต้องการอะไรที่มากกว่านั้น เราต้องฟื้นฟูสิ่งที่คริสตจักรควรจะเป็น คริสตจักรคืออะไรในธรรมชาติและในแก่นแท้ของตัวเอง? อะไรคือสัญลักษณ์และสิ่งที่ทำให้คริสตจักรแตกต่าง?
ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรที่เข้มแข็ง
คริสเตียนพูดเรื่อง “สัญลักษณ์ต่างๆ ของคริสตจักร” มานานแล้ว หัวข้อในเรื่องคริสตจักรไม่ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของการถกเถียงในวงกว้างในทางศาสนศาสตร์อย่างเป็นกิจจะลักษณะจนกระทั่งมีการปฏิรูปศาสนา ก่อนศตวรรษที่สิบหกคริสตจักรถูกสันนิษฐานมากกว่าถูกอภิปราย คริสตจักรถูกมองว่าเป็นช่องทางสู่พระคุณ คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในฐานะสมมติฐานของศาสนศาสตร์ข้อที่เหลือ อย่างไรก็ตาม เมื่อการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงของมาร์ติน ลูเธอร์ และคนอื่นๆ เกิดขึ้นในศตวรรษที่สิบหก การอภิปรายในเรื่องธรรมชาติของคริสตจักรจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างที่นักวิชาการท่านหนึ่งอธิบายไว้ว่า “การปฏิรูปศาสนาทำให้ข่าวประเสริฐเป็นแบบทดสอบของคริสตจักรแท้ ไม่ใช่องค์กรทางศาสนา” (เอ็ดมันด์ คลาวนีย์, The Church, 1995], 101)
ในปี 1530 เมลันช์ธอน ได้เขียนแถลงการณ์แห่งออกส์เบอร์กขึ้น ซึ่งมาตรา 7 ระบุว่า “คริสตจักรแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมของธรรมิกชนซึ่งข่าวประเสริฐได้รับการสอนอย่างถูกต้องและพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ได้รับการดำเนินอย่างถูกต้อง” และเพื่อที่จะมีการเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงเช่นนี้ของคริสตจักรมันก็เพียงพอแล้วที่จะมีความเป็นหนึ่งเดียวของความเชื่อในการสั่งสอนข่าวประเสริฐและการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ ในปี 1553 โธมัส แครนเมอร์ ได้จัดทำ Forty-two Articles of the church of England ซึ่งท่านได้เขียนว่า “คริสตจักรที่มองเห็นได้ของพระคริสต์คือชุมนุมชนของคนแห่งความเชื่อซึ่งพระวจนะอันบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้รับการสั่งสอนและพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ได้รับการดำเนินการอย่างเหมาะสม” จอห์น คาลวิน เขียนในหนังสือ “Institutes/สถาบันแห่งคริสตศาสนา” ของท่านว่า “เมื่อใดก็ตามที่เราได้เห็นถ้อยคำของพระเจ้าได้รับการสั่งสอนและเป็นที่รับฟัง และพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ถูกดำเนินตามอย่างที่พระคริสต์ได้สถาปนาไว้ นั่นก็คือคริสตจักรอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
แถลงการณ์แห่งเบลเยียม (1561) บทความที่ 29 กล่าวว่า “สัญลักษณ์ของคริสตจักรที่แท้จริง คือ หากที่นั่นสั่งสอนหลักคำสอนที่แท้จริงของข่าวประเสริฐ หากคริสตจักรนั้นยังคงประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงซึ่งได้รับการสถาปนาโดยพระคริสต์ หากการลงวินัยคริสตจักรเกิดขึ้นในการลงโทษความบาป กล่าวคือ หากทุกสิ่งได้ถูกดำเนินการตามอย่างพระวจนะอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามได้รับการปฏิเสธ และพระเยซูคริสต์เป็นที่ยอมรับในฐานะศีรษะเดียวของคริสตจักร”
การสร้างและการรักษาคริสตจักรไว้
เราสามารถเห็นว่าทั้งสองสัญลักษณ์ คือการประกาศข่าวประเสริฐและการปฏิบัติตามพิธีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นทั้งการสร้างและการรักษาไว้ซึ่งคริสตจักรคือน้ำพุแห่งความจริงของพระเจ้าและเป็นภาชนะอันสวยงามเพื่อบรรจุและสำแดงความจริงของพระองค์ คริสตจักรถูกสร้างขึ้นโดยการเทศนาพระคำของพระเจ้าอย่างถูกต้อง คริสตจักรถูกควบคุมและทำให้แตกต่างโดยการประกอบพิธีบัพติสมาและพิธีมหาสนิทอย่างถูกต้อง (เป็นที่เข้าใจว่าหากมีพิธีมหาสนิทก็แสดงว่ามีการลงวินัยด้วย)
แน่นอนว่าไม่มีคริสตจักรไหนที่สมบูรณ์แบบ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่คริสตจักรซึ่งไม่สมบูรณ์แบบหลายแห่งยังเป็นคริสตจักรที่เข้มแข็งอยู่ ผมเกรงว่ายังมีคริสตจักรอีกมากมายที่ไม่เข้มแข็งแม้จะเป็นคริสตจักรที่ยืนยันความเป็นพระเจ้าและสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์อย่างครบถ้วนก็ตาม หนังสือเก้าสัญลักษณ์ของคริสตจักรที่เข้มแข็งจึงได้จัดทำแผนเพื่อฟื้นฟูการสอนและการนำคริสตจักรที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ขึ้นมาใหม่ในเวลาที่ชุมชนคริสเตียนหลายแห่งอ่อนแอลงและกลายเป็นคริสเตียนแต่ในนามมากเกินไปซึ่งเป็นผลทำให้เกิดแนวคิดแบบปฏิบัตินิยมและความใจแคบอย่างสุดๆ เป้าหมายของคริสตจักรจำนวนมากหล่นจากการถวายเกียรติแด่พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวไปเป็นการแค่มีจำนวนที่มากขึ้นโดยการคิดว่าเป้าหมายนั้น (ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีใด) ต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างแน่นอน
ในสังคมที่คริสตศาสนากำลังถูกปฏิเสธอย่างกว้างขวางและอย่างรวดเร็ว สังคมที่บ่อยครั้งการประกาศถูกมองว่าเป็นการไม่ผ่อนปรนโดยแท้หรือแม้แต่ถูกจัดอย่างเป็นทางการว่าเป็นอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง เราพบว่าโลกของเราได้เปลี่ยนไป สังคมที่เราต้องคล้อยตามเพื่อที่จะสามารถเข้ากันได้กลายเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออกกับการเป็นศัตรูต่อข่าวประเสริฐที่การคล้อยตามต้องหมายถึงการสูญเสียข่าวประเสริฐ ในเวลาเช่นนี้เราจำเป็นต้องฟังพระคัมภีร์พูดใหม่และต้องนึกถึงความสำเร็จในพันธกิจใหม่ ไม่ใช่ในฐานะของผลที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นหรือผลที่เกิดขึ้นในทันทีแต่ในฐานะความสัตย์จริงที่พิสูจน์ได้ของพระคำพระเจ้า
เราต้องการรูปแบบใหม่
เราต้องการรูปแบบอันใหม่สำหรับคริสตจักร อันที่จริง รูปแบบที่เราต้องการคือรูปแบบเดิม เราต้องการคริสตจักรที่ตัวบ่งชี้ความสำเร็จไม่ใช่ผลลัพธ์ที่แน่ชัดแต่เป็นความซื่อสัตย์ที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์อย่างแน่วแน่ รูปแบบใหม่ (เก่า) ของคริสตจักรนี้มุ่งความสนใจไปที่สองความต้องการขั้นพื้นฐานในคริสตจักรของเรา คือ การเทศนาพระคำของพระเจ้าและการนำสาวก ห้าสัญลักษณ์แรกของ “สัญลักษณ์ของคริสตจักรที่เข้มแข็ง” (การเทศนาแบบอรรถาธิบาย ศาสนศาสตร์พระคัมภีร์ ความเข้าใจที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ของข่าวประเสริฐ ความเข้าใจที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ของการเปลี่ยนความเชื่อ และความเข้าใจที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ของการประกาศ) ต่างสะท้อนถึงพันธะในการเทศนาพระคำของพระเจ้าอย่างถูกต้อง สัญลักษณ์สี่ประการหลัง (การเป็นสมาชิกคริสตจักร การลงวินัยคริสตจักร พันธะสำหรับการสร้างสาวกและการเติบโต และการนำคริสตจักร) ได้พูดถึงปัญหาในเรื่องการจัดการกับขอบเขตและสัญลักษณ์ของตัวตนของคริสเตียนอย่างถูกต้อง เช่น วิธีการนำสาวก
จุดจบและเป้าหมายของทั้งหมดนี้คือเพื่อพระเกียรติของพระเจ้าเมื่อเราทำให้พระองค์เป็นที่รู้จัก ตลอดทั้งประวัติศาสตร์พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำให้ตัวพระองค์เองเป็นที่รู้จัก (เช่น ในอพยพ 7:5; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:34-35; สดุดี 22:21-22; อิสยาห์ 49:22-23; เอเสเคียล 20:34-38; ยอห์น 17:26) พระองค์ได้ทรงสร้างโลกขึ้นมาและทำสิ่งที่ได้ทรงทำเพื่อการสรรเสริญแด่พระองค์เอง และการทำสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม มาร์คโรส กล่าวไว้ว่า
“เราคือหนึ่งในหลักฐานชิ้นเอกของพระเจ้า…พันธะอันใหญ่หลวงที่เปาโลมีต่อคริสตจักร (ในเอเฟซัส 4:1-16) คือการที่คริสตจักรจะประกาศและสำแดงพระเกียรติสิริของพระเจ้า การทำเช่นนี้คือการพิสูจน์พระลักษณะของพระเจ้าต่อการดูหมิ่นแห่งอาณาจักรของซาตาน การดูหมิ่นว่าพระเจ้าไม่คู่ควรแก่การใช้ชีวิตเพื่อพระองค์เลย…พระเจ้าได้มอบหมายพระนามของพระองค์เองให้กับคริสตจักร”
ทุกคนที่ได้อ่านถ้อยคำเหล่านี้ (ทั้งคนที่เป็นผู้นำคริสตจักรและคนที่ไม่ใช่) ล้วนถูกสร้างขึ้นตามพระฉายของพระเจ้า เราต้องเป็นรูปที่เดินได้ของศีลธรรมแห่งธรรมชาติและลักษณะอันชอบธรรมของพระเจ้า โดยการสะท้อนให้ทุกคนเห็นทั่วทั้งจักรวาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าผ่านทางพระคริสต์ของเรา ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงเรียกเรามาสู่สิ่งนี้และนี่คือเหตุผลที่ได้ทรงเรียกเรา พระองค์ได้ทรงเรียกให้เรามาร่วมกับพระองค์ และให้มาร่วมกับชุมชนของเรา ไม่ใช่เพื่อเกียรติของเราแต่เพื่อพระเกียรติของพระองค์
*****
หมายเหตุ : บทความส่วนนี้คือข้อความที่ตัดมาจากบทนำของ “เก้าสัญลักษณ์ของคริสตจักรที่เข้มแข็ง”
โดย มาร์ค เดเวอร์