จุดเริ่มต้นของข่าวสารของคริสเตียนคือการที่ “พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก” (อันที่จริงก็เป็นจุดเริ่มต้นของพระคัมภีร์ของคริสเตียนด้วยซ้ำ) ทุกอย่างเริ่มจากจุดนั้น และมันเหมือนกับลูกธนูที่ถูกยิงจากคันธนูที่เล็งได้ไม่ดี ถ้าหากคุณเล็งผิดเป้า ทุกอย่างที่ตามมาก็จะผิดด้วย
หนังสือปฐมกาลเริ่มต้นด้วยเรื่องราวการสร้างโลกของพระเจ้า คือภูเขาและหุบเขาต่างๆ สัตว์และปลาต่างๆ นกและสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ พระองค์สร้างทุกสิ่ง พระเจ้าได้สร้างส่วนที่เหลือของจักรวาลด้วย คือดวงดาวและดวงจันทร์ ดาวเคราะห์และกาแล็กซีต่างๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นผ่านทางคำพูดของพระองค์และทุกอย่างก็เริ่มจากศูนย์ ไม่ใช่ว่าพระเจ้านำวัสดุบางอย่างที่มีอยู่แล้วก่อนหน้านี้มาปั้นมันเหมือนกับปั้นหม้อดินให้เป็นสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ในโลก ไม่ใช่เลย พระธรรมปฐมกาลบอกกับเราว่าพระองค์พูดแล้วสิ่งเหล่านั้นก็เกิดขึ้น พระองค์พูดว่า “จงเกิดความสว่าง!” ความสว่างก็เกิดขึ้น
มีพระคัมภีร์หลายตอนที่บอกเราเกี่ยวกับการที่สิ่งทรงสร้างต่างเป็นพยานถึงสง่าราศีและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สดุดี 19:1 บอกว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระเกียรติสิริของพระเจ้า
ท้องฟ้าสำแดงฝีพระหัตถ์ของพระองค์” เปาโลบอกใน โรม 1:20 ว่า “เราก็เห็นและเข้าใจสภาวะที่เราไม่อาจมองเห็นได้ของพระเจ้า คือฤทธานุภาพนิรันดร์และเทวสภาพของพระองค์อย่างชัดเจนจากสิ่งที่ทรงสร้าง” หากคุณเคยยืนอยู่บนขอบหน้าผาในหุบเขาและเห็นฝูงนกบินโฉบอยู่เบื้องล่างและก้อนเมฆขยายตัวออกเหนือศีรษะคุณ หรือหากคุณเคยยืนอยู่กลางทุ่งและรู้สึกได้ถึงความกลัวที่แล่นเข้ามาในใจคุณ เมื่อได้เห็นพายุฟ้าคะนองเคลื่อนตัวอยู่เหนือขอบฟ้า คุณจะเข้าใจเองว่านี่หมายความว่าอะไร มีบางอย่างเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของการทรงสร้างที่เรียกร้องให้หัวใจมนุษย์กล่าวว่า “ยังมีสิ่งอื่นนอกจากตัวเธออีก!”
เรื่องราวการทรงสร้างในปฐมกาลขยายออกไปทั้งในด้านขอบเขตและความสำคัญในแต่ละวันใหม่ อย่างแรกคือการสร้างความสว่าง จากนั้นก็ทะเล แผ่นดิน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แล้วก็ฝูงนกและฝูงปลา และฝูงสัตว์ และ ณ จุดสูงสุดของงานแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า คือผู้ชายและผู้หญิง
แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบเรา ตามอย่างเรา เพื่อให้เขาครอบครองปลาในทะเล นกในอากาศ สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่าทั้งปวง และสัตว์ที่เลื้อยคลาน” ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ ตามพระฉายของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้น พระองค์ทรงสร้างทั้งผู้ชายและผู้หญิง (ปฐมกาล 1:26-27)
ไม่ว่าคุณจะมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวการทรงสร้างเป็นอื่นใด นัยยะต่างๆ ที่แฝงอยู่ของคำกล่าวอ้างนี้ก็มีมากมายมหาศาลคือคำกล่าวอ้างที่ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกและโดยเฉพาะสร้างคุณขึ้นมา การที่จะบอกว่าตัวโลกเองไม่ใช่ที่สุด แต่เกิดจากความคิด คำพูด และน้ำมือของผู้อื่น ก็เป็นความคิดที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับยุคของเรา การเชื่อว่าพระเจ้าสร้างทุกอย่างหมายความว่าทุกสิ่งในจักรวาลล้วนมีเป้าหมาย (รวมถึงมนุษย์ด้วย) นั้นตรงข้ามกับแนวคิดที่ปฏิเสธคุณค่าและการมีอยู่จริงของทุกอย่างที่ครอบงำความคิดของมนุษย์เป็นอย่างมาก เราไม่ใช่ผลผลิตของความบังเอิญและการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม ของการเข้ายีนส์ชุดใหม่ หรือของความผิดปกติของโครโมโซม เราถูกสร้างขึ้นมา! เราทุกคนคือผลผลิตของความคิด แผนการ และการกระทำของพระเจ้า และสิ่งนี้นำทั้งความหมายและความรับผิดชอบมาให้กับชีวิตมนุษย์ (ปฐมกาล 1:26-28)
ไม่มีสักคนในพวกเราที่เกิดขึ้นเองและปกครองตัวเอง และการเข้าใจความจริงข้อนี้คือกุญแจสำคัญไปสู่การเข้าใจข่าวประเสริฐ แม้ว่าเราจะพูดเรื่องสิทธิและเสรีภาพตลอดเวลา แต่เราก็ไม่ได้เป็นอิสระเท่าที่เราคิด เราถูกสร้างขึ้นมา เราถูกทำขึ้นมา ดังนั้นเราจึงมีเจ้าของ
เพราะพระเจ้าสร้างเราขึ้นมา พระองค์จึงมีสิทธิ์ที่จะบอกเราว่าต้องใช้ชีวิตแบบไหน ดังนั้น พระองค์จึงบอกกับอาดัมและเอวาในสวนเอเดนว่าต้นไม้ต้นไหนที่กินได้ ต้นไหนกินไม่ได้ (ปฐมกาล 2:16-17) ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทำตัวราวกับเด็กบ้าอำนาจที่ชอบบงการน้องชายของตัวเองไปทั่วแล้วสร้างกฎตามอำเภอใจขึ้นมาเพียงเพื่อจะได้ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่เลย พระคัมภีร์บอกกับเราว่าพระเจ้านั้นประเสริฐ พระองค์รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประชากรของพระองค์และพระองค์ก็มอบกฎที่จะปกป้องรักษาและเพิ่มความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพวกเขา หากใครสักคนต้องการจะเข้าใจข่าวดีของคริสตศาสนา การเข้าใจเรื่องนี้ไว้บ้างก็จำเป็นอย่างแน่นอน ข่าวประเสริฐคือการตอบสนองที่พระเจ้ามีต่อข่าวร้ายของความบาป และความบาปคือการที่คนคนหนึ่งปฏิเสธสิทธิ์ในการเป็นพระผู้สร้างที่พระเจ้ามีเหนือชีวิตเขา ดังนั้น ความจริงพื้นฐานของการมีอยู่ของมนุษย์ (คือต้นน้ำที่ทุกอย่างล้วนออกมาจากตรงนี้) คือการที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาและดังนั้น พระองค์จึงเป็นเจ้าของชีวิตเรา
บทความโดย
เกร็ก กิลเบิร์ต
Excerpt from “What is the Gospel?” by Greg Gilbert